ทำเนียบขาวและหน่วยข่าวกรองระดับนำของสหรัฐฯ
ไม่ว่าจะเป็นสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) สำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ)
และสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ)
พลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8 หรือ 9
จากฝีมือการขย่มของคนเล็กๆ
คนหนึ่งที่มีพลังมหาศาลสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินวงการจารกรรมในแดนดินถิ่นอินทรีอเมริกาและทั่วโลกจนปั่นป่วนไปตามๆ
กัน
ประธานาธิบดีบารัก
โอบามา ถึงกับนั่งไม่ติดขณะถูกรุมจวกแทบไม่มีชิ้นดีในคดีสะท้านโลก
กรณีไฟเขียวให้ปัดฝุ่นโครงการลับสุดยอดที่ใช้ชื่อรหัสว่า “พริซึม” (prism) มาพัฒนาให้ทันสมัยปูทางให้เอ็นเอสเอ
พร้อมด้วยซีไอเอและเอฟบีไอสามารถจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของอเมริกันชนและผู้ที่เข้าไปตั้งถิ่นฐานในประเทศนี้
ด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
9 แห่ง ได้แก่ ไมโครซอฟท์, กูเกิล,
เฟซบุ๊ก, ยาฮู, แอปเปิล,
เอโอเแอล, พาลทอล์ค, สไกป์,
และยูทูบ
ซึ่งยินยอมพร้อมใจเปิดช่องทางพิเศษนี้ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาข้อมูลทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ ภาพถ่าย คลิปเสียง หรือคลิปภาพเคลื่อนไหว
ไม่นับรวมไปถึงการดักฟังโทรศัพท์ของมะกันชนกว่า
10 ล้านคน ตลอดจนการดักฟังเสียง วีดีโอ ข้อความแชท และการถ่ายโอนข้อมูล ต่างๆ
ของสไกป์ หรือโปรแกรมติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยข้อความพร้อมเสียงและภาพจากกล้อง
webcam เพื่อสืบสาวหาข้อมูลทุกอย่างที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศรวมทั้งอาจเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุมกับผู้ก่อการร้าย
เรียกได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลรวมทั้งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์
การเหวี่ยงแหจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของประชาชนนี้
ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ทำเนียบขาวและหน่วยงานจารกรรมทั้ง 3 หน่วย
ยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวมาตลอด ว่าการจารกรรมทุกครั้งจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
และไม่ใช่การล้วงความลับของมะกันชนอย่างกว้างขวางเช่นนี้
แต่จากเอกสารลับหลายชิ้นเผยว่า เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
เอ็นเอสเอได้รวบรวมข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์เกือบ 3,000 ล้านชิ้น
ที่สำคัญ
ยังมีการแฉด้วยว่า การสอดแนมของพญาอินทรีอเมริกายังครอบคลุมไปถึงฮ่องกงและจีน
แม้จะไม่ได้จารกรรมข้อมูลของกองทัพจีน ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย
ข้าราชการ และธุรกิจ ซึ่งยิ่งทำให้ทำเนียบขาวหน้าแตกเย็บไม่ติดมากขึ้น
เพราะช่วงนี้กำลังประโคมข่าวกล่าวหาจีนว่าได้เปิดฉากโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่
รวมทั้งชอบแฮคข้อมูลลับของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก
ทันทีที่ หนังสือพิมพ์การ์เดียนของ
อังกฤษ และวอชิงตัน โพสต์ ของสหรัฐฯ ร่วมกันเปิดโปงคดีอื้อฉาวที่สุดในรอบทศวรรษ
หรือเรียกสั้นๆ ว่า “พริซึมเกต” ชื่อของเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน
อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ของซีไอเอ ซึ่งเพิ่งฉลองวันเกิดครบ 30 ปีเมื่อเร็วๆ
นี้ พลันดังเป็นพลุแตก เมื่อยอมเผยโฉมตัวเองว่าเป็นแหล่งข่าวตัวจริงเสียงจริงที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงข่าวสะเทือนฟ้าสะเทือนดินนี้
เพราะต้องการกระชากหน้ากากของผู้นำวอชิงตันมาตีแผ่ให้โลกได้รับรู้ว่าวอชิงตันได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น
และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนมาเนิ่นนานเพียงไร
ผลการเปิดโปงข่าวนี้ทำให้ชื่อของสโนว์เดนกลายเป็นหนึ่งใน
“ตำนานจอมแฉ ” ผู้โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนดินถิ่นอินทรี
ตามรอยของแดเนียล เอลล์สเบิร์ก
อดีตนักวิเคราะห์ของกองทัพผู้มอบเอกสารลับเพนตากอนซึ่งอัดแน่นด้วยข้อมูลของกระทรวงกลาโหมที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามเวียดนามให้กับนักข่าวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก
ไทมส์เมื่อปี 2514 หรือดับเบิลยู มาร์ค เฟลท์ อดีตผู้อำนวยการสมทบของเอฟบีไอ
เจ้าของฉายา “ดีพโทรท” แหล่งข่าวลับสุดยอดในคดีวอเตอร์เกตของนักข่าวหัวเห็ดของหนังสือพิมพ์เดอะ
วอชิงตัน โพสต์ ผู้เพิ่งยอมเผยโฉมตัวเองเมื่อปี 2548 รวมทั้งมอร์เดคาย วานูนู
เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคนิวเคลียร์ของอิสราเอลผู้เปิดเผยโครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอลเมื่อปี
2529 เป็นเหตุให้ถูกตัดสินจำคุก 18 ปี และพลทหารแบรดลีย์ แมนนิ่ง
ที่เปิดโปงเอกสารลับทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ หรือวิกิลีกส์
สโนว์เดนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคกับซีไอเอมานาน
4 ปี ก่อนจะลาออกไปทำงานกับบริษัท บูซ อัลเลน แฮมิลตัน
หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจด้านให้คำปรึกษาชั้นนำของโลกในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายเทคนิค
มีหน้าที่คอยดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทคู่สัญญาจากภายนอก โดยเฉพาะเอ็นเอสเอ
สโนว์เดนจึงมีโอกาสเรียนรู้วิธีเก็บข้อมูลกิจกรรมการสอดแนมของหน่วยสืบราชการลับเอ็นเอสเอและซีไอเอ
ซึ่งได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากบทสนทนาและพฤติกรรมของคนจำนวนมาก
จอมแฉระดับโลกสารภาพว่าในช่วงแรกๆ
เคยเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเปิดโปงข้อมูลของรัฐบาล
แต่สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนใจเนื่องจากข้อมูลลับของซีไอเอส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับประชาชน
การเปิดโปงเรื่องเหล่านั้นอาจทำให้มีผู้เดือดร้อนจำนวนไม่ใช่น้อย
แม้จะมีชีวิตสุขสบาย
มีอาชีพที่มั่นคงด้วยเงินเดือนราว 2 แสนดอลลาร์ (ราว 6 ล้านบาท)
มีครอบครัวที่ตัวเองรัก มีบ้านพักอันอบอุ่นในฮาวาย แต่ท้ายสุด
สโนว์เดนก็พร้อมจะสละความสุขเหล่านี้
เพราะไม่อาจฝืนมโนธรรมที่ว่าไม่อาจปล่อยให้รัฐบาลทำลายความเป็นส่วนตัว
ละเมิดเสรีภาพในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทั่วโลก
ผ่านการสอดแนมด้วยเครื่องมือที่รัฐแอบสร้างขึ้น
แม้จะรู้ว่ารัฐบาลสามารถสร้างหลักฐานเท็จต่างๆ
จนอาจทำให้ตัวเองกลายเป็นคนชั่วร้ายเหมือนเช่นที่เคยทำกับหลายคนมาก่อนหน้าแต่ก็ไม่กลัว
เพราะได้เลือกทางเดินใหม่แล้ว
พร้อมกับแสดงความหวังว่าเอกสารลับชิ้นนี้จะช่วยทำให้ประชาคมโลกตระหนักว่าอยากอยู่บนโลกแบบไหนแน่
ด้วยความไม่ประมาท
สโนว์เดนได้เตรียมการให้พรักพร้อมก่อนจะเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดที่ตัวเองแอบสำเนาไว้จากสำนักงานของเอ็นเอสเอในฮาวาย
ด้วยการขอลางาน 2 สัปดาห์ อ้างว่าเพื่อไปรักษาโรคลมบ้าหมู
จากนั้นก็บินไปยังฮ่องกงพร้อมเอกสารชุดสุดท้ายที่จะกระชากหน้ากากของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ
โดยเจ้าตัวให้เหตุผลที่เลือกฮ่องกงว่าเพราะเป็นดินแดนที่ให้เสรีภาพทางความคิดแก่ผู้มีแนวเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาล
และเป็นเพียงสถานที่ไม่กี่แห่งในโลก ที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเข้ามาจัดการได้
อย่างไรก็ตาม สโนว์เดนสารภาพว่าอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
เพราะแม้ฮ่องกงจะเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน แต่ก็มีกฎหมายเป็นของตนเอง
โดยเฉพาะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐฯ
ขณะที่รัฐบาลจีนอาจจะสอดมือเข้ามาควบคุมตัวเองไว้ ในฐานะที่เป็นแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์
หรือกระทั่งซีไอเอเองที่สามารถเสาะหาตัวเองได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อสถานกงสุลสหรัฐฯ
เองก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักมากนัก
ในช่วงแรก
จอมแฉระดับตำนานคนใหม่ของโลกยืนยันว่าจะไม่หลบซ่อนตัวหรือหลบหนีแต่อย่างใด
เพราะเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
แต่ก็ไม่ประมาทในฐานะที่เคยทำงานกับหน่วยข่าวกรองที่ทรงอิทธิพลที่สุดมานานหลายปี
ทำให้รู้ตัวเองว่าทำเนียบขาวและเอ็นเอสเอไม่มีวันปล่อยให้รอดแน่ ดังนั้น
สโนว์เดนจึงมักจะเก็บตัวเงียบในห้องพักในโรงแรมที่ฮ่องกง
โดยยอมย่างเท้าออกจากห้องพักแค่ 3 ครั้ง นาน 3 สัปดาห์แล้ว
และด้วยความระแวงว่าจะถูกสอดแนม
จึงต้องนำหมอนไปเรียงไว้ที่ประตูเพื่อป้องกันการถูกดักฟัง
และต้องสวมเสื้อมีฮู้ดสีแดงคลุมศีรษะ
รวมทั้งต้องหาอะไรบังแลปท็อปตอนเข้าพาสเวิร์ดเพื่อป้องกันการถูกตรวจจับด้วยกล้อง
นอกเหนือจากคอยดูข่าวโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต
สุดท้าย
สโนว์เดนซึ่งประกาศว่าตัวเองไม่ได้เป็น “วีรบุรุษ”
ในชั่วข้ามคืนอย่างที่สื่อยกย่อง
แต่ที่ทำไปก็เพราะต้องการปกป้องเสรีภาพและความต้องการส่วนตัว
และไม่ต้องการอยู่ในโลกที่ปราศจากความลับ
ก็หายตัวอย่างลึกลับหลังเช็คเอาต์จากโรงแรม เชื่อกันว่าเตรียมยื่นเรื่องขอลี้ภัยการเมืองในประเทศที่สาม
ระหว่างนั้น
ได้มีการเปิดการลงชื่อในหน้าเว็บไซต์ของทำเนียบขาวเรียกร้องให้อภัยโทษต่อสโนว์เดนด้วย
โดยหากมีผู้ลงชื่อสนับสนุนถึง 100,000 คนภายในวันที่ 9 กรกฎาคม
ทำเนียบขาวก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับพิจารณา ก่อนส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญ
และมีถ้อยแถลงตอบกลับอย่างเป็นทางการ ตามโครงการ “we the people” หรือ “เราคือประชาชน”
ที่ประธานาธิบดีโอบามาดำริไว้
เพื่อเปิดโอกาสให้อเมริกันชนสามารถสื่อสารกับรัฐบาลได้โดยตรง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ทำเนียบขาวและหน่วยงานความมั่นคงต่างเต้นเป็นเจ้าเข้า พยายามตอบโต้ทุกวิถีทางอย่างที่เคยทำมาก่อนหน้า
รวมทั้งพยายามจะกระชากตัวสโนว์เดนไปลงโทษให้ได้
เริ่มด้วยการทำลายชื่อเสียงของอดีตลูกจ้างซีไอเอด้วยการการประณามว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ
มีการส่งฟ้องศาล 3 ข้อหาด้วยกัน โดยสองข้อหาแรกเป็นความผิดภายใต้กฎหมายจารกรรม
อีกข้อหาหนึ่งเป็นข้อหาขโมยทรัพย์สินรัฐบาลจากการนำรายละเอียดโครงการลับสุดยอดมาเปิดเผยผ่านสื่อยักษณ์ใหญ่
แต่ละข้อหามีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี
ซึ่งการส่งฟ้องนี้เป็นขั้นตอนแรกของการเดินเรื่องให้ฮ่องกงส่งตัวสโนว์เดนกลับประเทศในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
นอกจากนี้
ยังมีการกุข่าวว่าเป็นสายลับให้กับจีน
การสั่งยกเลิกพาสปอร์ตเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไปลี้ภัยในประเทศที่สาม
พร้อมกับขอร้องให้พันธมิตรในยุโรปช่วยกักตัวหากพบว่าเดินทางไปรอเปลี่ยนเครื่องบิน
หรือเปลี่ยนแผนใช้ประเทศนั้นเป็นสถานที่ลี้ภัย
หลังจากมีข่าวว่าสโนว์เดนได้เดินทางออกจากฮ่องกงด้วยเครื่องบินของแอโรว์ฟลอต
ไปลงที่กรุงมอสโก เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปคิวบาก่อนจะไปขอลี้ภัยในเอกวาดอร์
ซึ่งได้อนุญาตให้จูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์
เข้าลี้ภัยในสถานเอกอัครราชทูตเอกวาดอร์ในอังกฤษเป็นเวลานานถึงหนึ่งปีเต็มแล้ว
โดยกระทรวงต่างประเทศเอกวาดอร์ได้ทวีตผ่านทวิตเตอร์ว่า
ได้รับคำร้องขอลี้ภัยของสโนว์เดนแล้ว
ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการแฉแผนลับสะท้านโลกก็คือ
พล.อ.คีธ อเล็กซานเดอร์
ผู้อำนวยการเอ็นเอสเอต้องไปให้การต่อหน้าคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาเป็นครั้งแรกยืนยันว่า
โครงการนี้สามารถสกัดกั้นการก่อการร้ายได้หลายครั้งทั้งในและต่างประเทศ
พร้อมกับรับปากว่าจะยอมเผยแผนป้องกันการก่อการร้ายกว่า 20
แผนจากผลพวงของการสอดแนมลับ ต่อที่ประชุมลับวุฒิสภา ขณะที่โรเบิร์ต มุลเลอร์
ผู้อำนวยการเอฟบีไอคุยโวว่า หากมีระบบสอดแนมเช่นนี้นานแล้ว
อาจช่วยสกัดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ได้ด้วยซ้ำ
ปัญหาโต้เถียงในขณะนี้
ที่คงยากหาข้อยุติได้ง่ายๆ ภายในเร็ววันก็คือ
อเมริกันชนจะต้องสละความเป็นส่วนตัวหรือไม่หากอยากจะมีชีวิตอยู่ปลอดภัยไร้กังวล
รวมไปถึงการถกในประเด็นที่ว่าแท้ที่จริงแล้วสโนว์เดนเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
เป็นผู้รักชาติหรือคนทรยศ เป็นคนที่ทำให้อเมริกันปลอดภัยน้อยลง
หรือช่วยให้ตาสว่างมากขึ้น
ที่มา thaipublica
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น